
ต้นตำรับ หมอทำตาสองชั้น ของไทย
นวัตกรรมใหม่
ผลงานระดับอาจารย์แพทย์
ยึดผู้เข้ารับบริการเป็นศูนย์กลาง
มืออาชีพ
นายแพทย์ชลธิศ เรียนทางด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าได้ 2 ปี ก็ได้กลับมาเป็นศัลยแพทย์ และเป็นอาจารย์สอนให้กับรุ่นน้องในแผนกศัลยกรรม ที่โรงพยาบาลศิริราช ที่เป็นแผนกเปิดใหม่ ย่อยจากแผนก หู คอ จมูก โดยได้ทำการรักษาคนไข้ ควบกับการทำ Plastic Surgery
โดยในสมัยนั้น การทำศัลยกรรม เป็นการรักษาโรคมากกว่าที่จะทำเพื่อความงาม น้อยคนนักที่จะเข้ามาทำ เพื่อความสวยงาม ซึ่งคุณหมอก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์การผ่าตัด Plastic Surgery จากตรงนี้ โดยทำฟรีให้กับคนที่ต้องการเข้ามาทำ เพื่อเป็นกรณีศึกษาในการซ้อมมือ
และสอนลูกศิษย์ไปในตัว หลังจากนั้นประมาณ 10 ปี วงการศัลยกรรมก็เปิดกว้างมากขึ้น มีผู้หญิงมาทำศัลยกรรมเยอะขึ้น ส่วนใหญ่ก็จะมาทำตาสองชั้น และเสริมจมูก จากที่เคยทำให้ฟรี ก็เริ่มมีการเก็บเงิน จาก 200 เป็น 2,000 โดยนำเงินนั้นไปช่วยคนไข้อนาถา และเอาไปช่วยทางด้านการศึกษา ซึ่งตลอดระยะเวลาที่นายแพทย์ชลธิศ
ได้ผันตัวมาเป็นศัลยแพทย์ และมีโอกาสบินไปดูงาน ที่ต่างประเทศหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นที่ญี่ปุ่น อเมริกา เพื่อนำความรู้ มาปรับใช้ในการผ่าตัดของตัวเอง และนำความรู้มาเผยแพร่ต่อกับลูกศิษย์ ที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งนายแพทย์ชลธิศได้เห็นว่า วิชาการศัลยกรรมนั้น เป็นของถิ่นใครถิ่นมัน โครงสร้างของคนเราไม่เหมือนกัน ต้องคิดไป ทำไป และพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
นายแพทย์ชลธิศ เคยผ่าตัดศัลยกรรมตาสองชั้นแบบกรีดยาว ซึ่งเป็นเทคนิคสมัยเก่า ส่วนใหญ่นั้น จะทำเพื่อรักษาคนไข้สูงอายุ ที่มีปัญหาโรคขนตาทิ่มตา น้ำตาไหลแฉะ ก่อนที่จะค่อย ๆ ลดขนาดแผลลงจนกลายเป็นจุดเล็กๆ
และทำเพื่อเสริมความงามในปัจจุบัน จนสามารถเรียกได้ว่า นายแพทย์ชลธิศ เป็นหมอทำตาสองชั้น คนแรกของโลกที่คิดค้นเทคนิคการทำตาสองชั้น แบบเจาะรูเล็กๆ ที่เปลือกตา นอกจากเทคนิคการทำตาสองชั้นแบบเจาะรูที่เปลือกตาแล้ว
การเสริมจมูกด้วยวิธีปลูกย้ายไขมัน นายแพทย์ชลธิศก็เป็นคนคิดค้นเทคนิคนี้ ซึ่งปลอดภัยกว่าการเสริมจมูกด้วยการฉีดซิลิโคนเหลว เพราะเคยรักษาคนไข้ ที่ไปฉีดซิลิโคนเหลวมาแล้ว กลายเป็นเนื้องอก ต้องทำการผ่าตัดขูดออก พอนำซิลิโคนเหลวออกจมูกก็บิดเบี้ยว
นายแพทย์ชลธิศเลยคิดค้นเทคนิค ที่จะรักษาให้กับคนไข้ ให้จมูกกลับมามีสภาพเดิมที่ดีที่สุด จึงได้คิดค้นนำเอาไขมันจากตรงท้องมาใช้ที่จมูก จนทำให้คนไข้นั้นหายดี และกลายเป็นเทคนิคที่มีครั้งแรกในโลกอีกเหมือนกัน ที่นำเอาไขมันมาเสริมจมูก
นอกเหนือจากการผ่าตัดศัลยกรรมตาสองชั้น และเสริมจมูก นายแพทย์ชลธิศ ยังคิดค้นเทคนิคการผ่าตัด ศัลยกรรมดึงหน้าให้เต่งตึง หรือที่เรียกว่า Face Lock-Face Lift ที่นอกจากจะช่วยเรื่องความสวยความงามแล้วนั้น จุดกำเนิดมาจากที่นายแพทย์ชลธิศ ต้องการที่จะให้เป็นส่วนหนึ่งของการศัลยกรรม ของการรักษา
และช่วยฟื้นฟูความชรา เพราะเมื่อคนเราอายุมากขึ้นแล้ว ความหย่อนคล้อยก็จะมา มีร่องน้ำหมาก ที่จะทำให้น้ำลายออกมาตรงมุมปาก หรืออาจจะทำให้ขนตาบริเวณหางตาทิ่มตา เนื่องมาจากชั้นตาตก ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เมื่อมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น และความหย่อนคล้อย ซึ่งการทำศัลยกรรมดึงหน้านั้น
จะช่วยเปลี่ยนแปลง และช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ซึ่งปัจจุบันศัลยกรรมดึงหน้า Face-Lock, Face Lift เป็นอีกหนึ่งการทำศัลยกรรม ที่ขึ้นชื่อของนายแพทย์ชลธิศเป็นอย่างมาก ผ่าตัดมาแล้วจนนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังนำเอาความรู้ และประสบการณ์ในการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า ไปเผยแพร่ให้ศัลยแพทย์ทั่วโลก
จึงได้รับเชิญให้เป็นอาจารย์ไปสอนทั้งในยุโรปอเมริกา และกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งญี่ปุ่น เกาหลี และจีน อีกทั้งยังเป็นผู้คิดค้นเทคนิค การทำศัลยกรรมให้ตอบโจทย์กับทุกปัญหาการศัลยกรรมใบหน้า ให้ได้มาตรฐานอย่างมีคุณภาพ รวมถึงยังมีจิตใจที่ดูแลคนไข้ทุกคน เสมือนเป็นคนในครอบครัว
มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนไข้ที่เข้ามาใช้บริการ และสังคม เพื่อเป็นแบบอย่างแก่จรรยาบรรณวงการศัลยแพทย์ในประเทศไทย ซึ่งสามารถตรสจสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ ได้ที่เว็บไซต์ของแพทยสภา โดยสามารถกรอกชื่อ และนามสกุลคุณหมอ ได้โดยตรง

เนื้อหาที่ท่านสนใจ เสริมจมูกแบบโอเพ่น คืออะไร ซึ่งย่อมาจาก Open Rhinoplasty คือ การเสริมจมูกแบบเปิด โดยเป็นเทคนิคการผ่ากรีดรูปตัววีกลับหัว โดยที่ศัลยแพทย์จะสามารถเข้าถึงทุกส่วนของจมูก รวมถึงกระดูกอ่อน ผนังกั้นจมูก และรูจมูกภายนอก โดยที่แพทย์จะทำการกรีดเพื่อยกผิวหนังบริเวณจมูกขึ้น เสริมแบบโอเพ่นมี 2 ลักษณะดังนี้ https://youtu.be/8haxsb8mMm8 เสริม Open เพื่อปรับโครงสร้างผนังกั้นจมูก คือ เพื่อเป็นการปรับโครงสร้างของผนังกั้นจมูก ซึ่งเป็นแกนกลางที่รองรับโครงสร้างจมูกด้านในอย่างแท้จริง เพื่อช่วยแก้ปัญหาโครงสร้างที่ซับซ้อน

เนื้อหาที่ท่านสนใจ เสริมจมูกแบบ close คือ การเสริมจมูกแบบปิดเป็นทางเลือกที่สร้างผลกระทบน้อยกว่าการเสริมจมูกแบบเปิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องการการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ในระหว่างการเสริมจมูกแบบปิด ศัลยแพทย์จะผ่าตัดผ่านรูจมูกแทนที่จะเปิดเปิดแผลภายนอก ซึ่งทำให้เข้าถึงบริเวณบางส่วนของจมูกได้จำกัด ซึ่งผู้เข้ารับบริการไม่ควรคาดหวังว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากหลังการผ่าตัด เนื่องจากเป็นการเน้นปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ โดยยกผิวหนังผ่านแผลขนาดเล็ก ข้อดี อาการบวมช้ำน้อย ขนาดแผลเล็ก ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 30-90 นาที แผลเป็นและรอยเย็บน้อย ฟื้นตัวได้เร็ว รีวิว ดูรีวิวทั้งหมด Youtube

เป็นการใช้ “หน่วยซ่อมบำรุงที่ดีที่สุด” ของร่างกายเพื่อเข้าไปฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพโดยตรง ทำอะไรได้จริง การบำบัดด้วยเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell Therapy) หรือ Exosomes เป็นการนำเซลล์ต้นกำเนิด (จากไขมันตัวเอง, รก, หรือเลือด) หรือสารชีวภาพที่เซลล์ต้นกำเนิดปล่อยออกมา (Exosomes) มาฉีดกลับเข้าร่างกายเพื่อลดการอักเสบทั่วร่างและกระตุ้นการซ่อมแซมตัวเองของอวัยวะต่างๆ ประโยชน์ที่เข้าใจง่าย เหมือนการ ส่งทีมวิศวกรซ่อมบำรุงชุดใหม่ เข้าไปในร่างกายโดยตรง เพื่อไปซ่อมแซมข้อต่อที่เสื่อม, ลดการอักเสบเรื้อรัง, และฟื้นฟูอวัยวะต่างๆ ให้กลับมาทำงานได้ดีขึ้น

เป็นการ “ปรับจูนเครื่องยนต์” ของร่างกายให้กลับมาทำงานเหมือนตอนที่ยังหนุ่มสาว ทำอะไรได้จริง การให้ฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy – HRT) ภายใต้การดูแลของแพทย์ แพทย์จะตรวจวัดระดับฮอร์โมนที่ลดลงตามวัย (เช่น Testosterone, Estrogen, Progesterone, DHEA) และให้ฮอร์โมนชนิด Bioidentical (มีโครงสร้างเหมือนกับที่ร่างกายสร้าง) กลับไปในระดับที่เหมาะสม ประโยชน์ที่เข้าใจง่าย เหมือนการ *”ย้อนเวลาระบบเผาผลาญและอารมณ์”* ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น,

เป็นการ “ล้างของเสีย” และ “ซ่อมบำรุง” ระบบต่างๆ ที่ทำงานหนักมานาน ทำอะไรได้จริง คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) : การให้สารน้ำทางหลอดเลือดเพื่อไปจับกับโลหะหนักที่เป็นพิษต่อร่างกาย (เช่น ตะกั่ว, ปรอท) แล้วขับออกจากร่างกาย อุโมงค์ออกซิเจน (Hyperbaric Oxygen Therapy – HBOT) : การเข้าไปนั่งในอุโมงค์ (หรือห้อง)

เป็นการ “เติมเชื้อเพลิง” คุณภาพสูงให้เซลล์โดยตรง เพื่อให้เครื่องยนต์ของร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ทำอะไรได้จริง NAD+ IV Therapy : คือการให้สาร NAD+ (Nicotinamide Adenine Dinucleotide) ซึ่งเป็นโคเอนไซม์สำคัญในการสร้างพลังงานของเซลล์ ผ่านทางสายน้ำเกลือเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง ประโยชน์ที่เข้าใจง่าย เหมือนการ *”ชาร์จแบตเตอรี่ให้เซลล์”* โดยตรง เมื่อเซลล์มีพลังงานเต็มเปี่ยม จะช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้น รู้สึกมีเรี่ยวแรง ฟื้นตัวได้เร็ว และชะลอกระบวนการเสื่อมของเซลล์

การตรวจวินิจฉัยเชิงลึก (Advanced Diagnostics) เป็นการ “หาจุดอ่อน” ของร่างกายก่อนที่จะเริ่มซ่อมแซม ทำอะไรได้จริง การตรวจเลือดเชิงลึก (Longevity Blood Panel) : ไม่ใช่แค่การตรวจสุขภาพประจำปีทั่วไป แต่เป็นการตรวจดูค่าที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมโดยตรง เช่น ระดับฮอร์โมน, สารบ่งชี้การอักเสบ, ระดับวิตามินแร่ธาตุเชิงลึก, ความยาวของเทโลเมียร์ (Telomere Length) หรืออายุทางชีวภาพ (Biological Age) ประโยชน์ที่เข้าใจง่าย